ริเริ่มการพัฒนาทั่วโลก ร่วมกันสร้างอนาคตที่สวยงาม สุนทรพจน์ ติง สงจวิน ประธานบริษัท กุ้ยโจว เหมาไถ ในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจ APEC

การประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจ APEC ประจำปี 2565 ได้จัดขึ้นที่ กรุงเทพมหานครฯ เมืองหลวงของประเทศไทย เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยมีนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุม ซึ่ง ติง ซงจวิน ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เหมาไถ และประธาน บริษัท กุ้ยโจว เหมาไถ จำกัด ได้เข้าร่วมการประชุมนี้พร้อมทั้งกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ “การริเริ่มการพัฒนาทั่วโลก ร่วมกันสร้างอนาคตที่สวยงาม”

ติง สงจวิน เกริ่นนำด้วยการบรรยายสถานการณ์ทั่วไปของ เหมาไถ กรุ๊ป ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตลาดโลก จากนั้นกล่าวว่า เหมาไถ เป็นแบรนด์สุราระดับพรีเมียมอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน ซึ่งมีมูลค่าตลาดเกือบ 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่การส่งออกในปี พ.ศ.2496 จนถึงตอนนี้ ผลิตภัณฑ์แบรนด์เหมาไถ ได้ถูกขายไปยัง 64 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยมีตลาดหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เขาเชื่อว่า การเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลกใหม่ การดำเนินการตามโครงการริเริ่มการพัฒนาทั่วโลกที่เสนอโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และการอ้างอิงประสบการณ์และแนวทางการพัฒนาของเหมาไถ อนาคตของการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในเอเชียแปซิฟิกนั้นขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามคำสำคัญ 5 คำ และการทำให้หารพัฒนา “ห้าสาย” ประสบผลสำเร็จ

ประการที่ 1 คือ การพัฒนา “สายสีน้ำเงิน” ที่มุ่งเน้น “การเติบโต”เป็นหลัก  พิมพ์เขียวการพัฒนาของบริษัทขึ้นอยู่กับการเติบโตเชิงปริมาณและการปรับปรุงคุณภาพ ซึ่ง บริษัท กุ้ยโจว เหมาไถ ยังคงยืนหยัดในการสร้างคุณภาพเป็นอันดับแรกเสมอ เราได้ขยายกำลังการผลิตทางวิทยาศาสตร์ในพื้นที่การผลิตหลักตามแนวแม่น้ำชิซุยที่งดงาม และขยายตลาดไปทั่วโลก

ประการที่ 2 คือ การพัฒนา “สายสีเขียว” ที่มุ่งเน้น “ความยั่งยืน”เป็นหลัก  บริษัท กุ้ยโจว เหมาไถ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อ ESG เราพยายามปกป้องแม่น้ำ (แม่น้ำชิซุย) มาตลอด 10 ปี และบริจาคเงินสนับสนุนมากกว่า 1.1 พันล้านหยวน เพื่อผลประโยชน์ของนักเรียนกว่า 210,000 คน อย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 11 ปี ซึ่งเรากำลังสร้างชุมชนแห่งชีวิต “ภูเขา น้ำ ป่า ดิน แม่น้ำ จุลชีพ” เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมการผลิตสุราที่ยั่งยืน

ประการที่ 3 คือ การพัฒนา “สายสีขาว” ที่มุ่งเน้น “นวัตกรรม” เป็นหลัก สายสีขาว เปรียบเสมือนการเขียนบทความบทใหม่บนหน้ากระดาษสีขาว ซึ่งหมายถึง กระบวนการผลิต “สุราของชาติ”  เราใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการถอดรหัสยีนลับของเหมาไถ เราเปิดรับการแปลงเป็นดิจิทัล เชื่อมโยงสินค้าและตลาด ทั้งเสมือนจริงและของจริง และทั้งในประเทศและต่างประเทศ  iMoutai กลายเป็นแอปพลิเคชันที่สร้างปรากฏการณ์  อีกทั้งไอศกรีมเหมาไถยังได้รับความนิยมทั่วประเทศจีน

ประการที่ 4 คือ การพัฒนา “สายสีม่วง” ที่มุ่งเน้น “วัฒนธรรม” เป็นหลัก  สายสีม่วง เป็นแนวป้องกันและคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมในแผนก่อสร้าง และต่อยอดไปสู่วัฒนธรรม ทั้งนี้ วัฒนธรรมเหมาไถ ถือเป็นจุดสูงสุดของวัฒนธรรมสุราจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปี โดยแบรนด์ เหมาไถ ได้รับรางวัลเหรียญทองในปานามา เมื่อปี พ.ศ. 2458 และเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น เหตุการณ์กองทัพแดงข้ามแม่น้ำชิซุย 4 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2478 และการสร้างสัมพันธภาพระหว่างจีนกับต่างประเทศต่าง ๆ หลังการก่อตั้งนิวไชน่า

ประการที่ 5 คือ การพัฒนา “สายสีแดง” ที่มุ่งเน้น “ความปลอดภัย” เป็นหลัก  หัวใจหลักของสายนี้คือการรักษาความปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทานในเชนอุตสาหกรรม โดยอาศัยการเสริมความเข้มแข็งด้านการบริหารความเสี่ยงแบบรอบด้าน สร้างชุมชนแห่งผลประโยชน์ ชุมชนแห่งความรัก และชุมชนแห่งโชคชะตาร่วมกับพันธมิตรทางการค้า เพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่นและความปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทานในเชนอุตสาหกรรม และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและมั่นคง

เขายังกล่าวอีกว่า เหมาไถ ยินดีที่จะทำงานร่วมกับองค์กรอุตสาหกรรมและการค้าในเอเชียแปซิฟิก โดยยึดมั่นในแนวคิดของการเปิดกว้างและความร่วมมือ และร่วมกันสร้างอนาคตที่สวยงามให้กับโลก

จากนั้น ประธาน ติง สงจวิน ได้เข้าร่วมการอภิปรายกลุ่มกับ นายโตโมชิกะ อุยามะ ที่ปรึกษาอาวุโส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก, นายจอห์น เดนตัน เลขาธิการสภาหอการค้านานาชาติ และนายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานาธิบดีเวียดนาม เหงียนซวนฟุก กล่าวสุนทรพจน์

ในการอภิปรายกลุ่ม ประธาน ติง สงจวิน ยังอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสบการณ์การพัฒนาและการปฏิบัติของกลุ่มบริษัท เหมาไถ ว่าภายใต้ความท้าทายของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและการเพิ่มขึ้นของปัจจัยที่ไม่พึงประสงค์ เหมาไถยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่สูงกว่าตัวเลขสองหลักเอาไว้ด้วยความพยายามของบริษัทในการปรับปรุงบริการผลิตภัณฑ์ การขยายตลาด การลดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาและการเปิดกว้างด้านการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเรียกร้องให้ทุกคนร่วมมือกันสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่แข่งขันอย่างยุติธรรม ครอบคลุม และเปิดกว้าง

การประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจ APEC ครั้งนี้ดำเนินการภายใต้แนวคิด “Embrace Engage Enable” (การเปิดรับโอกาส การรวมพลัง ขยายข้อจำกัด) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม และความร่วมมือระหว่างประชาชนในภูมิภาค ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการค้าและการลงทุน แบ่งปันนวัตกรรม และบรรลุการพัฒนาร่วมกัน

APEC เป็นกลไกความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับสูงสุด กว้างขวางที่สุด และมีอิทธิพลมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจ APEC ก็เป็นเวทีสำคัญระหว่างการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก