วัยทองไม่ต้องกลัว แพทย์เผยความลับฉบับความสุขเพื่อผู้หญิงในวัยสำคัญ


วัยทองไม่ต้องกลัว แพทย์เผยความลับฉบับความสุขเพื่อผู้หญิงในวัยสำคัญ

ไลฟ์สไตล์ไลฟ์

Advertorial

14 พ.ค. 2564 14:18 น.

บันทึก
SHARE

ผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนทราบเกี่ยวกับ “ภาวะวัยทอง” หรือ “วัยหมดระดู” โดยเฉพาะเรื่องความเสื่อมทางร่างกายที่จะเกิดตามมาในวัยนี้ ยิ่งเป็นคุณผู้หญิงที่กำลังนับเวลาถอยหลังสู่หลักสี่ ที่เปรียบเสมือนหมุดหมายแรกของการก้าวเข้าสู่วัยทองด้วยแล้ว หลายคนอาจเริ่มร้อนๆ หนาวๆ ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจบ้างนะ เราจะรู้สึกแย่กับตัวเองในวันเวลาแบบนั้นหรือเปล่า สุขภาพจะเป็นอย่างไร… ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงที่กำลังนับถอยหลังสู่วัยทอง หรือก้าวเข้ามาแบบเต็มตัวแล้วก็ตาม แพทย์มีคำแนะนำที่เหมาะสมเพื่อสร้างสุขในวัยสำคัญที่เป็นไปได้จริง

เกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้หญิงก้าวเข้าสู่วัยทอง

ความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายเป็นสัญญาณแรกที่ผู้หญิงแทบทุกคนจะสังเกตเห็นได้ด้วยตนเอง เมื่ออายุมาที่ 40 ปี จะสังเกตว่าตัวเองจะเริ่มเข้าสู่ภาวะหมดระดู หรือ Menopause ได้โดยสังเกตจากประจำเดือนจะเริ่มห่างออกหรือขาดเป็นเวลาหลายเดือน ถ้าขาดประจำเดือนติดต่อกันเป็นเวลา 12 เดือน ถือว่าผู้หญิงคนนั้นเข้าสู่วัยทองเต็มตัว อาจมีอาการวัยทองร่วมด้วย เช่น ความรู้สึกร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมาก จนถึงความรู้สึกไม่แจ่มใส และการไม่สามารถควบคุมอารมณ์ขึ้นลงของตัวเองได้ เป็นต้น


รศ.นพ.กระเษียร ปัญญาคำเลิศ สูติ-นรีแพทย์ หัวหน้าสาขาเวชศาสตร์ทางเพศและวัยหมดระดู คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้หญิงวัยทอง หรือวัยหมดระดูเอาไว้ว่า โดยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุจากการที่เริ่มมีภาวะรังไข่เสื่อมจนไข่ไม่ตก ทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้อีก และส่งผลให้ฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจน (Estrogen) ที่สร้างจากรังไข่หมดลงตามไปด้วย ซึ่งการที่ร่างกายของผู้หญิงขาดเอสโตรเจนเช่นนี้ก็จะเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยที่ชัดเจน

แม้จะมีคำเล่าขานว่า ผู้หญิงวัยทองมักมากับภาวะทางอารมณ์ที่ยากจะรับมือ จนถึงภาวะซึมเศร้า จิตตก และความรู้สึกทางกายประเภทร้อนวูบวาบจากการพร่องหรือหมดลงของฮอร์โมนเพศ
แต่เอสโตรเจนเองก็สัมพันธ์โดยตรงกับระบบต่างๆ ภายในร่างกายที่เกี่ยวกับความเสี่ยงในการเกิดโรค รศ.นพ.กระเษียร ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ทางเพศและวัยหมดระดู แนะนำเพิ่มเติมว่า วัยหมดระดูเป็นช่วงวัยที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองการเกิดโรคต่างๆ แต่เนิ่นๆ เนื่องจากการหมดลงของเอสโตรเจนมีผลต่อความเสี่ยงหลายโรค อาทิ โรคกระดูกพรุน หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบหลอดเลือดและหัวใจ


“การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายในผู้หญิงวัยหมดระดูอย่างเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญมาก คำแนะนำสำหรับผู้หญิงที่อยู่ในวัยนี้คือการเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างละเอียด เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านภูมิต้านทานให้แก่ตัวเองด้วยสารอาหารที่จำเป็น ซึ่งทุกวันนี้มีผลการวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดมีผลที่ดีต่อผู้หญิงวัยหมดระดูมากขึ้นด้วย”

ทำไม “วิตามินดี” และ “วิตามินอี” จึงจำเป็นต่อผู้หญิงวัยหมดระดู

ที่ผ่านมามีการศึกษาเกี่ยวกับวิตามินดี โดยทีมนักวิจัยจาก Trinity College Dublin ประเทศไอร์แลนด์ เป็นการศึกษาเรื่องการขาดวิตามินดีของผู้สูงอายุ จากการติดตามเป็นระยะเวลา 4 ปี พบว่าช่วงวัยนี้ที่มีความเสี่ยงจากภาวะซึมเศร้าสูงถึง 75% แต่การได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอ มีผลช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าได้ดี นอกจากนี้ยังพบว่าวิตามินดี มีประโยชน์อื่นๆ ที่จำเป็นต่อผู้หญิงวัยหมดระดู โดยข้อมูลของทีมนักวิจัยของ Queen Mary University of London ยืนยันว่า วิตามินดีช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นไข้หวัด และโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และล่าสุดมีการศึกษาจาก University of Liverpool ยืนยันด้วยว่า วิตามินดีมีสรรพคุณต่อต้านการอักเสบและงานวิจัยบางแห่งยังระบุว่า วิตามินดีช่วยให้ร่างกายที่รับมือกับไวรัสต่างๆ ได้ดีขึ้น

ส่วนประเด็นที่น่าสนใจหนึ่งที่ รศ.นพ.กระเษียร กล่าวถึงวิตามินดี คือ ความสำคัญในแง่การช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และป้องกันภาวะโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยหมดระดู รวมทั้งช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ การได้รับวิตามินดีที่เพียงพอจึงจำเป็นมาก โดยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินดีสำหรับผู้หญิงวัยหมดระดู พบว่าขนาดการรับประทาน 600-800 IU ต่อวันจะช่วยรักษาภาวะการขาดวิตามินดีได้ ทั้งนี้ขึ้นกับอายุและระดับวิตามินดีในเลือด และคำแนะนำที่น่าสนใจคือ วิตามินดีที่เหมาะสมควรเป็นวิตามินดีแบบ D2 หรือ D3 ที่อยู่ในรูปแบบ “Inactive form” สำหรับการออกฤทธิ์ในร่างกาย พบว่าวิตามิน D3 ออกฤทธิ์ได้ดีกว่า D2 ในบางการศึกษา อย่างไรก็ตามการพิจารณาเลือกใช้ควรต้องคำนึงถึงราคาด้วย

นอกจากวิตามินดีแล้ว อีกหนึ่งวิตามินที่โดดเด่นและกำลังถูกพูดถึงอย่างมากในยุคนี้คือ วิตามินอี ซึ่งเป็นวิตามินอีกชนิดที่ได้รับการศึกษาอย่างจริงจังถึงผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้หญิงวัยหมดระดู รศ.นพ.กระเษียร กล่าวว่า โดยทั่วไปวิตามินอี หรือ Tocopherol จำเป็นต่อร่างกายในหลายแง่มุม อย่างการช่วยป้องกันเรื่องการเป็นหมันซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทราบกันมานานแล้ว รวมถึงความสำคัญในแง่การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เพื่อการชะลอวัยด้วยการทำให้เซลล์แข็งแรงปกป้องการถูกทำลายจากปัจจัยต่างๆ รวมถึงยังมีการศึกษาที่พบว่าวิตามินอีมีผลดีต่อการช่วยลดความเสี่ยงจากโรคไขมันเกาะตับ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาปวดท้องน้อยเวลามีระดูในสตรีวัยเจริญพันธุ์อีกมาก อาทิ การศึกษาที่พบว่าวิตามินอีมีบทบาทในการช่วยลดอาการปวดท้องน้อยเวลามีระดู เป็นต้น

สำหรับผู้หญิงวัยหมดระดูแล้ว วิตามินอียังมีความสำคัญในหลายส่วน การศึกษาเกี่ยวกับผลของการได้รับวิตามินอีในปริมาณที่เพียงพอ พบความน่าสนใจอีกหลายประเด็น เช่น

• วิตามินอีมีผลช่วยทำให้ความดันโลหิตที่สูงกลับมาสมดุลได้มากขึ้น โดยการศึกษาหนึ่งระบุว่า วิตามินอีส่งผลต่อการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดคลายตัว อาจเป็นผลดีต่อผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

• การใช้วิตามินอี 400 IU ทุกวันต่อเนื่องกัน อาจช่วยลดปัญหาอาการร้อนวูบวาบ (Hot flush)ในผู้หญิงวัยหมดระดูได้ด้วยเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานวิตามินอี โดยแพทย์ระบุว่าอาการร้อนวูบวาบ เหล่านี้เป็นผลมาจากการที่ร่างกายขาดเอสโตรเจนซึ่งพบสูงถึง 72% และเป็นอาการที่รบกวนชีวิตประจำวันจนรู้สึกไม่มีความสุข รวมถึงส่งผลต่อคุณภาพการนอนอีกด้วย

แม้คำว่า “วัยทอง” จะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับผู้หญิงแทบทุกคนอยู่บ้าง แต่การรับมือด้วยความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต รวมถึงเสริมในสิ่งที่ขาด โดยเฉพาะจากวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น ก็จะทำให้การก้าวเข้าสู่วัยนี้เป็นเรื่องที่ไม่ต้องหวาดหวั่นอีกต่อไป ตรงกันข้ามอาจจะเสมือนเป็นช่วงเวลาทองของชีวิตที่คุณจะรู้จักกับตัวเองในแง่มุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้มองเห็นอีกด้วย

ปรึกษาได้ที่ คลินิกสุขภาพเพศ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

อ่านเพิ่มเติม…