ยกฟ้องเอกชัยกับพวกหมิ่นประมาท ทบ. แต่โดนคุก 1 ปี คดีโพสต์ข้อความอนาจาร


ยกฟ้องเอกชัยกับพวกหมิ่นประมาท ทบ. แต่โดนคุก 1 ปี คดีโพสต์ข้อความอนาจาร

ข่าวอาชญากรรม

ไทยรัฐออนไลน์

28 เม.ย. 2564 14:38 น.

บันทึก
SHARE

ศาอาญา สั่งยกฟ้องคดีที่กองทัพบกฟ้องหมิ่นประมาท เอกชัยและโชคชัย ปมวิจารณ์สงครามบ้านร่มเกล้า ขณะที่ เอกชัย โดนสั่งจำคุก 1 ปี ในคดีโพสต์เฟซบุ๊กโดยมีข้อความลามกอนาจาร ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ที่ศาลอาญาวันที่ 28 เม.ย.64 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดูหมิ่นกองทัพบก หมายเลขดำ อ900/2562 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องนายเอกชัย หงส์กังวาน และนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ สองนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยการโฆษณาทำให้กองทัพบกได้รับความเสียหาย 

ข่าวแนะนำ

อัยการฟ้องว่าเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2562 จำเลยทั้งสองร่วมกันใส่ความกองทัพบกให้ได้รับความเสียหาย โดยการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์, คลิปวิดีโอผ่านเว็บไซต์ยูทูบ ทำนองว่า การเลือกตั้งมันช้าเพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โยนลูกกันไปมา ส่วนกองทัพบกไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยกับการเลือกตั้งเลย แต่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) (ขณะนั้น) มายุ่งเรื่องของการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ เก่งแต่เฉพาะกับคนไม่มีทางสู้

ถ้าไปดูประวัติศาสตร์ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นบุกอ่าวมะนาวที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ รบกันไม่ถึงเดือนก็ยอมแพ้ จากนั้นช่วงสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ฝ่ายไทยอุตส่าห์ไปหนุนช่วยฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ก็แพ้เขาตลอด ล่าสุดสงครามร่มเกล้าก็แพ้ให้ลาวอีก ก็อย่างที่บอก ทหารไทยเก่งเฉพาะกับคนที่ไม่มีทางสู้เท่านั้น กับชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธ ไม่มีปืนคุณก็ข่มเขา เก่งกับเขา รัฐบาลคุณก็รัฐประหารเขา แต่พอไปรบจริงๆ สู้ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ต้องไปพูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่ต้องมีกองทัพหรอก กระจอกขนาดนี้กะแค่รบกับลาวยังแพ้เลย และคำพูดอื่นๆ โดยประการที่น่าจะทำให้กองทัพบกต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

วันนี้ นายเอกชัยและนายโชคชัย เดินทางมาศาลฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองโดยตลอดแล้ว ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งสองต้องการเข้าไปภายในอาคารของกองบัญชาการกองทัพบก แต่ถูกเจ้าหน้าที่ห้ามไม่ให้เข้า จึงออกมายืนบริเวณหน้าป้ายกองทัพบก โดยจำเลยที่ 1 กล่าวข้อความตามฟ้องปรากฏตามภาพและเสียงในแผ่นซีดีภาพเคลื่อนไหว ซึ่งมีข้อความถูกต้องตรงกับรายงานถอดเทป และมีการแพร่ภาพสดผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ตั้งค่าเป็นสาธารณะ โดยมีจำเลยที่ 2 อยู่ร่วมด้วยและไม่มีการห้ามจำเลยที่ 1 ไม่ให้กล่าวข้อความตามฟ้อง

เห็นว่า ขณะเกิดเหตุพยานได้เข้าชมบันทึกภาพและเสียงการแพร่ภาพสด ซึ่งปรากฏตามข้อความตามฟ้องผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ประมาณวันที่ 20-21 ม.ค. 2562 พบว่ามีผู้เข้าชมการแพร่ภาพสดดังกล่าว 7,000 ครั้ง กดถูกใจ 200 ครั้ง และมีประชาชนเขียนข้อความแสดงความคิดเห็นให้กำลังใจ

ซึ่งความจริงเหตุการณ์ที่สมรภูมิร่มเกล้า เมื่อวันที่ 11-19 ก.พ. 2531 ที่บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ตรงข้ามกับแขวงไชยบุรี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไม่มีฝ่ายใดแพ้และชนะ ประเทศไทยเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในการเจรจามากกว่า ข้อความตามฟ้องที่จำเลยที่ 1 กล่าว จึงเป็นความเท็จและไม่มีข้อความส่วนใดกล่าวถึงข้อเสนอแนะให้กองทัพบกแก้ไข หรือพัฒนากองทัพให้ดีขึ้น

ศาลเห็นว่า การใส่ความผู้อื่นอันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องมีลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่แน่นอน และต้องถึงขนาดที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง โดยพิจารณาจากความรู้สึกนึกคิดของวิญญูชนทั่วไป

ดังนั้น ข้อความตามฟ้องแม้จะมีข้อความที่จำเลยกล่าวถึงสมรภูมิร่มเกล้าว่า “สงครามร่มเกล้า คุณก็แพ้ให้กับลาวอีก” ก็เป็นเพียงการกล่าวข้อความแสดงความคิดเห็นตามข้อเท็จจริงที่จำเลยได้ทราบมาเท่านั้น แม้จะมีถ้อยคำบางส่วนที่เป็นคำไม่สุภาพ ไม่เหมาะสม และเสียดสีการทำงานของกองทัพบก แต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงอันเป็นการใส่ความกองทัพบก โดยประการที่น่าจะทำให้กองทัพบกเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง แต่เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกองทัพบก ตามวิสัยของประชาชนทั่วไป

พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังฟังไม่ได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการใส่ความกองทัพบกต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้กองทัพบกเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จึงไม่อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิด ดังนั้นจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิด พิพากษายกฟ้อง

ส่วนอีกคดี ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ1032/2562 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายเอกชัยเพียงคนเดียวเป็นจำเลย ในผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่มีลักษณะลามก ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กรณีเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2560 จำเลยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง “ชีวิตในเรือนจำครั้งแรกของผม (9)” มีเนื้อหาเล่าเรื่องการมีเพศสัมพันธ์แบบชายรักชายของจำเลยในเรือนจำ โดยจำเลยให้การปฏิเสธ ระบุไม่มีเจตนาโพสต์ข้อความที่มีลักษณะลามก แต่ประสงค์จะเผยแพร่เรื่องราวสะท้อนปัญหาสังคมออกมาจากประสบการณ์ตรงของตน

ศาลพิเคราะห์ว่า การที่จำเลยโพสต์ข้อความบรรยาย (เป็นข้อความเกี่ยวกับท่าทางขณะมีเพศสัมพันธ์) เนื้อหาที่ปรากฏ มีลักษณะสื่อไปในทางลามกอนาจาร ดังนั้น เมื่อจำเลยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลดังกล่าว และประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่มีลักษณะอันลามก

ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนากระทำความผิด กระทำไปเพื่อเผยแพร่เรื่องราวชีวิตในเรือนจำของจำเลย อันเป็นการสะท้อนปัญหาสังคมนั้น เห็นว่า หากจำเลยประสงค์จะเขียนบทความเพื่อสะท้อนปัญหาในเรือนจำจริง จำเลยก็สามารถใช้ข้อความสื่อความหมายออกมาในลักษณะอื่น มิใช่ในลักษณะลามกอนาจารได้ อีกทั้งจำเลยเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า สาเหตุที่จำเลยเขียนเรื่องราวออกมาในแนวดังกล่าว เพื่อเอาใจประชาชนผู้ชื่นชอบหนังประเภทชายรักชายและกำลังเป็นที่ได้รับความนิยม จึงบ่งชี้ให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าประสงค์จะเผยแพร่ข้อความอันมีลักษณะลามก พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 2550 มาตรา 14 (4) ให้จำคุก 1 ปีจากนั้นนายเอกชัยจึงยื่นขอประกันตัวต่อไป

อ่านเพิ่มเติม…