AI กำลังท้าทายมนุษย์! เนรมิตภาพวาดตามคำสั่งได้สุดปัง

“AI จะแย่งงานคน” เป็นคำเตือนสุดฮอตที่เราได้ยินกันจนชินหูในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ราว ๆ 5 ปีก่อนที่เราเริ่มได้ยินประโยคนี้ถี่ ๆ หลายคนยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่า AI คืออะไร ส่วนอีกหลาย ๆ คนก็ยังใจเย็นอยู่ แต่พอมาถึงปี 2022 นี้ เราได้เห็นกันแล้วว่าเทคโนโลยียุคใหม่นั้นพัฒนาเร็วดุจความเร็วแสง

 

ความฉลาดของ AI ในตอนนี้เรียกได้ว่าก้าวกระโดดกว่าเมื่อก่อน ซึ่งมันยิ่งทำให้มนุษย์อย่างเรานั่งไม่ติดที่ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำเตือนดังกล่าวได้กลับมาวนเวียนในหัวของใครหลายคนอีกครั้ง ด้วยคำถามว่า “สายงานของเรา AI ทำงานได้ถึงขั้นไหนแล้ว ฉันใกล้ตกงานหรือยัง”

ก่อนหน้านี้ เคยมีการคาดการณ์กันถึงลักษณะงานที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูก AI เข้ามาแทนที่ คือ ลักษณะงานที่ไม่ต้องใช้มนุษยสัมพันธ์ ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ไม่ต้องวางกลยุทธ์ งานที่ไม่ต้องใช้ความงามด้านอารมณ์ความรู้สึก และงานที่สภาพแวดล้อมการทำงานคงที่ พวกงานที่ทำแบบกิจวัตร ทำซ้ำ ๆ วน ๆ ทุกวัน เพราะหัวใจการทำงานของ AI คือการที่ผู้ใช้ป้อนข้อมูลเข้าไปให้มาก ๆ ในหลากหลายรูปแบบ AI จะสามารถเรียนรู้ที่จะทำงานในลักษณะนั้น ๆ ได้ เมื่อมันเรียนรู้แล้ว ก็สามารถทำวนไปตามคำสั่งในรูปแบบซ้ำ ๆ เดิม ๆ นั่นเอง

 

ทำให้ปัจจุบันนี้ หลายธุรกิจได้นำ AI เข้ามาใช้งานแล้วบางส่วน ซึ่งมันมีผลเรื่องการลดบทบาทในการทำงานของมนุษย์ลงเรียบร้อย กลายเป็นว่ามีหลายตำแหน่งหน้าที่ที่ถูก AI และหุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนแล้ว และจะขยายเพิ่มเติมมากกว่านี้ในอนาคต เพราะในเชิงธุรกิจหากมองระยะยาว การลงทุนกับ AI นั้นคุ้มค่ากว่ามากการจ้างแรงงานคน

งานที่ AI ยังทำแทนไม่ได้ มีอยู่อีกไหม

จริง ๆ แล้ว AI ไม่สามารถที่จะทำงานแทนคนได้ในทุกด้านอยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีการควบคุมเพื่อไม่ให้มันเป็นภัยคุกคามมนุษยชาติมากกว่าที่จะเป็นผู้ช่วย อย่างเรื่องที่ AI จะแย่งงานคน แต่ก่อนมีการพูดถึงบางสายงานที่ AI เข้ามาทำแทนโดยสมบูรณ์ได้ยาก ทำได้เต็มที่คือเป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้น ลักษณะงานดังกล่าวคือ ต้องใช้ทักษะความเป็นมนุษย์ ที่มีความคิดและจิตใจนี่แหละเป็นข้อได้เปรียบ

ข้อได้เปรียบที่มนุษย์มีเหนือกว่า AI คือการทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดทางประสาทและการมองเห็น งานที่ใช้ความสร้างสรรค์ และงานที่ใช้ความฉลาดทางสังคม แม้ว่า AI จะฉลาดมาก แต่ AI ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มันทำงานตามคำสั่งที่ถูกป้อนเข้าไป ดังนั้น งานอะไรก็ตามที่ยังต้องใช้อารมณ์ความรู้สึก ใช้ความละเอียดอ่อน รอบคอบ ใช้สมองสร้างสรรค์อย่างซับซ้อน งานที่มีประสิทธิภาพสูง ๆ หรือการแก้ไขปัญหาแปลก ๆ ที่ยังมีแค่มนุษย์ที่ (ศักยภาพสูง) ทำได้ คนกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะไปต่อได้อีกนานพอสมควร เพราะ AI ยังทำหน้าที่วิเคราะห์ได้อย่างละเอียดลึกซึ้งแทนคนไม่ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ มนุษย์มีข้อได้เปรียบจากการที่มีความซับซ้อนทางอารมณ์นั่นเอง

หลาย ๆ คนอาจทราบแล้วว่า AI เขียนหนังสือได้ โดยมีความสามารถในการย่อยข้อมูลดิบที่ยาว ยาก และเฉพาะด้านออกมาเป็นงานเขียนที่ภาษาสละสลวยไม่ต่างจากที่มนุษย์เรียบเรียง ทำให้ไม่แน่ว่าต่อไปเราอาจได้เห็น AI แต่งนิยาย เขียนการ์ตูน หรือทำอะไรได้มากกว่านี้ และสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดคือ AI วาดรูปได้แล้ว! แถมผลงานที่ออกมายังสวยงามจนศิลปินจริง ๆ ยังทึ่ง ความเชื่อที่ว่างานบางงานมีเฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ อย่างงานที่ต้องใช้ความสร้างสรรค์ ความคิดและอารมณ์ที่ซับซ้อนแบบมนุษย์ เริ่มถูกท้าทายเสียแล้ว

ก็ถ้า AI สามารถออกแบบและวาดภาพได้งดงามขนาดนั้น บทบาทของศิลปินและสถาปนิกที่เป็นมนุษย์จะเป็นอย่างไรในอนาคต และที่หลาย ๆ คนยังใจเย็น คิดว่าสายงานของตัวเองจะปลอดภัยจาก AI เวลานี้ยังเชื่อได้แบบนั้นอยู่อีกหรือไม่ จงอย่าชะล่าใจ! ขนาดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ยังลามมาถึงวงการออกแบบ วงการศิลปะ (นอกเหนือจากงานด้านกราฟิก) ที่เราเคยเชื่อว่าเป็นงานละเอียดอ่อนที่สร้างสรรค์ได้โดยมนุษย์เท่านั้น แต่แล้ว AI กลับวาดออกมาสู้ฝีมือศิลปินเก่ง ๆ ได้หลายคน แม้กระทั่งวัดไทยที่รายละเอียดเยอะ มีความวิจิตรมาก AI ก็ยังทำออกมาได้งดงามอลังการ

AI วาดภาพตามคำสั่งได้อย่างปัง

“AI เข้าใจศิลปะหรือไม่?” เชื่อว่าหากเราตอบคำถามนี้เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ก็คงตอบว่าไม่มีทาง! เพราะมันเป็นงานที่ไม่ใช่แค่วาดภาพออกมา แต่ศิลปินต้องใช้ฝีมือ ต้องมีความสามารถทางด้านสุนทรียศาสตร์ ต้องมีจิตวิญญาณในการถ่ายทอดผลงาน แต่ปัจจุบันเรากลับมีเครื่องมือจาก AI ที่สามารถแปลงข้อความง่าย ๆ แบบที่ผู้ป้อนข้อมูลอาจมองว่าเป็นจิตวิญญาณของเขา ให้กลายเป็นรูปภาพระดับงานศิลป์ มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่งดงามมาก

ไม่นานมานี้ มีงานประกวดภาพวาดจัดขึ้นในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่องาน Colorado State Fair fine art ได้เปิดให้ศิลปินส่งผลงานเข้าประกวด เกิดประเด็นดราม่าว่ามันสมควรแล้วหรือไม่ กับรางวัลชนะเลิศการประกวดผลงานศิลปะประเภท Digital Art ของการแข่งขัน Fine Art Competition ผู้ชนะคือ Jason Allen ด้วยผลงานที่มีชื่อภาพว่า Theatre d’Opera Spatial

ซึ่งประเด็นมันอยู่ที่ภาพนี้เป็นภาพที่คนวาดใช้คำบอกเล่าของตนเองทำงานร่วมกับ AI จนได้งานศิลปะชั้นเลิศชิ้นนี้ออกมา พูดง่าย ๆ ก็คือ เขาใช้ “ปัญญาประดิษฐ์” ร่วมกับตัวเขา สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่สวยงามเหนือจินตนาการออกมาได้อย่างน่าทึ่งมาก

ภาพ Theatre d’Opera Spatial ที่เป็นปัญหา โดย Jason Allen

สำหรับปัญญาประดิษฐ์ที่เขาใช้นั้น คือ “Ai Midjourney” ซึ่งเป็นโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์สายภาพประกอบ คิดค้นโดย David Holz อดีตนักวิจัยด้านประสาทวิทยาของ NASA ในเบื้องต้น David และทีมงานอีกประมาณ 10 คน ได้คิดค้นโปรแกรม Midjourney ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การทำโปรเจ็กต์สนุก ๆ โดยไม่หวังหาผลกำไร โปรแกรมนี้ได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมานี้เอง

การที่ภาพวาดที่วาดขึ้นจาก AI ชนะรางวัลการประกวด ทำให้หลายคนยอมรับไม่ได้ เพราะจริง ๆ มันก็ค่อนข้างน่ากังขาว่าผลงานที่ AI สร้างขึ้นจะนับเป็นงานศิลปะได้ไหม แม้ว่า Jason Allen จะบอกว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เอาภาพที่ AI วาดให้มาแก้ไข ปรับแต่งนู่นนั่นนี่ จนจบงานชิ้นนี้ด้วยตัวเองอยู่ดี มันก็คือผลงานที่เขาสร้างขึ้นเหมือนกัน นอกจากนี้ เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ขอโทษหรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด เพราะว่าเขาไม่ได้ทำผิดกฎข้อใดเลยสักกข้อในการแข่งขันครั้งนี้

ฝีมือ AI ยังทำได้ขนาดนี้ แล้วที่ยืนของมนุษย์จะไปอยู่ตรงไหนล่ะ

หากใครได้ลองเข้าสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของตัวเองจาก Midjourney แล้ว จะพบว่าตัวเราเองคือผู้ออกไอเดียหรือความคิดว่าอยากได้งานศิลปะแบบไหน จากนั้นจึงป้อนคำสั่งผ่าน “คีย์เวิร์ด” ให้ได้ภาพแบบที่เราต้องการในภาพนั้น ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ สี เมือง ป่า ท้องฟ้า อวกาศ นรก หรือคำอะไรก็ได้ที่เราต้องการแล้วมันมีบันทึกไว้ในโปรแกรมอยู่แล้ว จากนั้น AI ก็จะประมวลผล แล้วสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะอันน่าทึ่งตามคำสั่งของเราออกมา

แม้ว่าคนที่คอยป้อนคำสั่งให้ AI วาดภาพจะต้องเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง ถึงจะได้ภาพที่สวยงามขนาดนั้นออกมา แต่มันก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลสำหรับคนที่ประกอบอาชีพในสายงานนี้จริง ๆ ในอนาคตอันใกล้ เวลานี้หลายคนเห็นแล้วว่า AI ที่ วาดภาพออกมาได้สวยงามขนาดนี้ จะกลายเป็นแรงงานสำคัญและเข้าแย่งงานคนที่ทำงานสายภาพประกอบได้ในเร็ว วันนี้ คนที่วาดภาพไม่เป็นก็แค่ฝึกวิธีการใช้คำสั่งนิดหน่อยก็สามารถทำให้ AI วาดภาพสวย ๆ มาให้ได้แล้ว แล้วผลงานที่คนจริง ๆ วาดขึ้นจะไปอยู่ที่ตรงไหน คนกลุ่มนี้จะต้องขยับขยายไปทางไหนต่อ

ถ้าผู้ที่จ้างงานเกิดไปฝึกปรือให้ตัวเองป้อนข้อมูลสั่ง AI ได้เอง หรือเพราะรู้ว่ามันไม่ได้ใช้ฝีมือแล้วก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น ภาพที่ AI สร้างขึ้นมาแต่ละภาพทำออกมาได้รวดเร็วเกินกว่าที่คนเราวาดเองตั้งหลายเท่าตัว กว่าจะคลิกเมาส์จรดปากกา หรือสะบัดปลายพู่กัน ปลายดินสอกับภาพที่รายละเอียดเยอะขนาดนั้น แข่งกับ AI ไม่ทันอยู่แล้ว เพราะ AI สามารถสร้างจากคีย์เวิร์ดได้มากมายและรวดเร็วให้ลูกค้าหรือคนที่ต้องการ เอาไปเลือกใช้ได้ในเวลาไม่กี่นาที การใช้ AI วาดจึงราคาย่อมเยากว่า และได้ภาพออกมาสวยงามเกินจินตนาการอีกต่างหาก ใครจะอยากจ่ายแพง

แม้ว่าภาพที่ AI สร้างขึ้นจะเป็นภาพคอนเซ็ปต์ในเบื้องต้น แต่มันมีความสวยงามมาก คนทั่วไปจึงมองว่ามันเป็นเครื่องมือชั้นยอด สำหรับการสร้างภาพจากจินตนาการของเราเองให้ออกมาเป็นรูปธรรมได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีฝีมือในการวาดภาพเลยสักนิด กระดาษกับปากกา เราอาจวาดได้แค่ภาพคนก้างปลา แต่แค่เรียนรู้วิธีกรอกคำสั่งกับ AI สักหน่อยก็ได้ภาพสวย ๆ มาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ศิลปินอาชีพเขาจะเห็นว่าภาพที่ได้มามันยังไม่ได้สมบูรณ์ขนาดที่จะนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์ได้ ศิลปินต้องเอาภาพนั้นมาตบแต่งแล้วจบงานเองอยู่ดีให้ภาพมันสมบูรณ์ขึ้น แต่คนทั่วไปที่ไหนจะสนล่ะ ถ้ามันเพียงพอตามที่พวกเขาต้องการแล้ว อย่างที่หลายคนน่าจะได้เห็นผ่าน ๆ ตามาบ้างแล้ว กับภาพที่มีคนเข้าไปลองเล่น ลองให้ AI วาดภาพตามคำสั่งออกมา ทั้งภาพอาคาร ภาพวัด ซึ่งมันสร้างภาพเหล่านั้นออกมาได้น่าสนใจพอสมควรเลย

นั่นทำให้เรายังมองว่า AI เป็นเพียงเครื่องมือของเราได้อยู่อีกหรือไม่ หรือจริง ๆ มันอาจเป็นคู่แข่งของเราแล้วก็ได้ ที่เรากังวลใจว่าตำแหน่งงานที่เราทำอยู่จะถูกแย่งงานไปด้วยเทคโนโลยี ในอนาคตมันเป็นไปได้อยู่แล้ว ถึงจะไม่สามารถแทนได้ทั้งหมด แต่มีคนตกงานแน่ ๆ แล้วจะทำอย่างไรล่ะถ้าคนนั้นดันเป็นเรา! มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น บทบาทและตำแหน่งงานมนุษย์ก็เปลี่ยนไปเสมอ จากที่เคยใช้คน 100 คน อาจจะมี AI กับ Robot สักเครื่องหรือสองเครื่องที่เข้ามาแทนคนได้ 10-20 คน มันมีคนที่จะต้องหายไปจากการจ้างงานแน่ ๆ

แล้วยิ่งถ้าเราเอา AI กับ Robot มาทำงานร่วมด้วยแล้ว และไหนจะเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นมาใหม่ในอนาคต มันก็จะทำงานทุกอย่างได้เหมือนคน 1 คนเลยก็ได้ หรืออาจจะทุ่มงบเพิ่มนิดหน่อยให้มันแข็งแรงกว่าคนก็ยังได้ ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีจะทำงานทุกอย่างได้จริง ๆ ในอนาคต แล้วมนุษย์เรายังจำเป็นอยู่ไหมเนี่ย?