เปิดตัว iPhone 13 (ไอโฟน 13) พร้อมเป็นเจ้าของได้ในราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท

สิ้นสุดการรอคอยแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงประจำปี 2021 หลังแอปเปิลเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ iPhone 13 Series ทั้งหมด 4

ทั้งนี้ “ทิม คุก” ซีอีโอของแอปเปิล (Apple) ได้ทำการเปิดตัว iPhone 13 ทั้งหมดออกมาให้เราได้เห็นแล้ว โดยทั้ง 4 รุ่นประกอบไปด้วย iPhone 13 mini , iPhone 13 , iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max

เริ่มกันที่ 2 รุ่นแรกอย่าง iPhone 13 mini  และ iPhone 13  ซึ่งในรุ่นนี้จะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว และ ขนาด 6.1 นิ้ว จอภาพ OLED Super Retina XDR เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น ดีไซน์ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ด้านหลังแบบกระจก และอะลูมิเนียม

หน้าจอขนาดเท่าเดิม เพิ่มเติมคือความสว่างที่มากกว่าเดิมถึง 28% และที่สำคัญคือติ่งเล็กลงเล็กน้อย จะมาพร้อมกับความสว่างสูงสุด 1200 nits และขุมพลังเป็น Apple A15 Bionic จะมี 6 Core แบ่งเป็น 2 Core ตัวแรงและ 4 Core ที่เป็นแบบเสถียร และเร็วขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว ส่วน GPU เพิ่มเป็นแบบ Qual Core GPU ให้ประสิทธิภาพแรงขึ้น 30%

โดยความเร็วขนาดนี้สามารถทำงานได้ในการทำงานแบบ realtime, แสดงผล แผนที่แบบ 3D ได้ดีและยังทำประโยชน์อื่นๆได้มากมาย

รวมไปถึงเรื่องกล้องด้วยกัน โดยกล้องด้านหลังคู่ที่เป็นแบบ กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล F1.6 และมีเทคโนโลยีทำให้การถ่ายภาพนิ่งผ่าน Sensor Shift ที่มีทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 Mini ส่วนกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และมีมาพร้อมกับรูรับแสงได้สว่างมากขึ้น

กล้องวิดีโอจะมาพร้อมกับ Cinematic Mode สามารถถ่ายภาพวิดีโอและเก็บรายละเอียดวิดีโอได้ดี พร้อมกับจัดการโฟกัสได้แม่นยยำและให้สีสันที่ เมื่อมีการจับว่ามีการมองที่กล้องก็จะโฟกัสที่บุคคลได้เลย หรือเราจะ Tab เพื่อโฟกัสและยังรองรับการทำ Auto Tracking AF และยังรองรับการแสดงผล Dolby Vision และกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซลตัวเดียว

iPhone 13 / iPhone 13 Mini รองรับ 5G ที่ทำงานได้เร็วและสามารถใช้งานได้หลากหลายประเทศทั่วโลกกว่า 200 เครือข่ายและ 60 ประเทศ

ในเรื่องแบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น โดย iPhone 13 Mini สามารถใช้งานได้นานขึ้น 1.5 ชั่วโมง และ iPhone 13 สามารถใช้งานได้นานกว่าเดิม 2.5 ชั่วโมง รองรับ MagSafe  และยังมีฟีเจอร์ Smart Data Mode จับเรื่องการใช้งานของเราได้ และมีระบบการป้องกันความเป็นส่วนตัวได้

รายละเอียดของ iPhone 13 Mini

  • ขนาดตัวเครื่อง 131.1 x 64.2 x 7.65  มิลลิเมตร  
  • น้ำหนัก 164 กรัม  
  • หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
  • ความละเอียดหน้าจอ : 1170 x 2532 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
  • กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
  • มาตรฐานการกันน้ำ IP68  กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
  • ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core 
  • RAM: ไม่ได้ระบุ
  • ความจำในตัว :128 / 256 / 512GB
  • เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage   
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 15 
  • การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
  • รองรับ eSIM และ Nano SIM      
  • ระบบเสียง 
  • ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
  • กล้องมีหลังประกอบด้วย 2 ตัวด้วยกันประกอบด้วย   
    • กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน 
    • กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา 
  • กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล  
  • แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
  • ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
  • สี : ชมพู, น้ำเงิน, ดำ, ทอง และ แดง Product Red

รายละเอียดของ iPhone 13

  • ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.65 มิลลิเมตร   
  • น้ำหนัก 135 กรัม  
  • หน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
  • ความละเอียดหน้าจอ : 1080 x 2340 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
  • กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
  • มาตรฐานการกันน้ำ IP68  กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
  • ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core 
  • RAM: ไม่ได้ระบุ
  • ความจำในตัว  128 / 256 / 512GB 
  • เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage   
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 14 
  • การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
  • รองรับ eSIM และ Nano SIM      
  • ระบบเสียง 
  • ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
  • กล้องมีหลังประกอบด้วย 2 ตัวด้วยกันประกอบด้วย   
    • กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน รองรับ Sensor Shift
    • กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา 
    • กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล  
  • แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
  • ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
  • สี : ชมพู, น้ำเงิน, ดำ, ทอง และ แดง Product Red

iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max 

และแล้วก็มาถึงรุ่นเรือธงกันแล้วกับ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max ยังมาพร้อมกับของเครื่องแบบสแตนเลสสวยงาม โดยมาพร้อมกับ 4 ทั้ง Sierra Blue, Silver, Graphite Gold ด้านหน้ายังคงมาพร้อมกับ Ceramic Shield

ขุมพลังมาพร้อมกับ Apple A15 Bionic ขุมพลังนั้นเหมือนกับรุ่น iPhone 13 ต่างที่ตัว iPhone 13 Pro จะได้ RAM เยอะกว่า และมีการปรับปรุงหน้าจอแบบ Super Retina XDR มาพร้อมกับเทคโนโลยีความสว่าง 1000 – 1200 nits และมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Promotion ที่สามารถปรับค่าแสดงผลได้ระหว่า 10 – 120 Hz โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่การเคลื่อนไหวและภาพที่ปรากฏ ทั้งหมดแสดงผล OLED

กล้องของ iPhone 13 Pro / iPhone 13 Pro Max ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่น กล้อง Telephoto ซูมได้ 3 เท่า, กล้องเลนส์หลักจะมาพร้อมกับความละเอียด 12 ล้านพิกเซล F1.5 จะสามารถถ่ายภาพกลางคืนได้ดีมากขึ้น และ Ultra Wide รองรับ Auto Focus และความสว่างมากขึ้นกว่าเดิม และสามารถถ่ายภาพระยะใกล้ หรือ Macro ได้ ด้วยเลนส์ Ultra Wide

การปรับกล้องนั้นสามารถทำได้ลึกระดับ Skin Tone คือสามารถทำให้ผิวของคนนั้นสว่างหรือมืดได้ด้วย และยังปรับในเรื่องของพื้นหลังแยกต่างหากได้

นอกจากนี้การถ่ายวิดีโอของกล้อง iPhone 13 Pro / iPhone 13 Pro Max เพิ่มระบบการโฟกัสที่ทำงานได้เร็วและยังมีฟีเจอร์ Cinematic Camera สามารถปรับแต่งภาพวิดีโอจากละลายหลังได้ดี แต่ยังไม่หมดครับเพราะมีการรองรับ ProRes Video ทำงานผ่าน A15 Bionic และความละเอียด 4K สามารถทำงานจบในเครื่อง

ส่วนแบตเตอรี่นั้น iPhone 13 Pro / 13 Pro Max จะมีการปรับให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน 1.5 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro และ 2.5 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro Max

รายละเอียดของ iPhone 13 Pro

  • ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.65 มิลลิเมตร   
  • น้ำหนัก 203 กรัม  
  • หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
  • ความละเอียดหน้าจอ : 1170 x 2532 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut พร้อมเทคโนโลยี Pro Motion 120Hz
  • กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
  • มาตรฐานการกันน้ำ IP68  กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
  • ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core 
  • RAM: ไม่ได้ระบุ
  • ความจำในตัว :128 / 256 /512GB และ 1TB
  • เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage   
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 14 
  • การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
  • รองรับ eSIM และ Nano SIM      
  • ระบบเสียง 
  • ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
  • กล้องมีหลังประกอบด้วย 3 ตัวด้วยกันประกอบด้วย   
    • กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.5 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน 
    • กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F1.8 มุมมอง120 องศา 
    • กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมได้ 3 เท่าแบบ Optical PDAF พร้อมกับระบบ Sensor Shift
    • LiDAR Sensor
  • กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล  
  • แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
  • ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
  • สี : Silver, Graphite, Gold, Sierra Blue

 

รายละเอียดของ iPhone 13 Pro Max

  • ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.65 มิลลิเมตร   
  • น้ำหนัก 238 กรัม  
  • หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
  • ความละเอียดหน้าจอ : 1284 x 2778 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut พร้อมเทคโนโลยี Promotion 120Hz
  • กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
  • มาตรฐานการกันน้ำ IP68  กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
  • ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core 
  • RAM: ไม่ได้ระบุ
  • ความจำในตัว :128 / 256 /512GB และ 1TB
  • เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage   
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 14 
  • การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
  • รองรับ eSIM และ Nano SIM      
  • ระบบเสียง 
    • ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
  • กล้องมีหลังประกอบด้วย 3 ตัวด้วยกันประกอบด้วย   
    • กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.5 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน 
    • กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F1.8 มุมมอง120 องศา 
    • กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมได้ 3 เท่าแบบ Optical PDAF พร้อมกับระบบ Sensor Shift
    • LiDAR Sensor
  • กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล  
  • แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (20W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
  • ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
  • สี : Silver, Graphite, Gold, Sierra Blue

ราคาและกำหนดการวางจำหน่าย iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

iPhone 13 mini : สตาร์ไลท์, มิดไนท์, น้ำเงิน, ชมพู และ (PRODUCT)RED)

  • iPhone 13 mini ขนาดความจุ 128GB ราคา 25,900 บาท
  • iPhone 13 mini ขนาดความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท
  • iPhone 13 mini ขนาดความจุ 512GB ราคา 37,900 บาท

iPhone 13 : สตาร์ไลท์, มิดไนท์, น้ำเงิน, ชมพู และ (PRODUCT)RED)

  • iPhone 13 ขนาดความจุ 128GB ราคา 29,900 บาท
  • iPhone 13 ขนาดความจุ 256GB ราคา 33,900 บาท
  • iPhone 13 ขนาดความจุ 512GB ราคา 41,900 บาท

 

ราคา iPhone 13 Pro (กราไฟต์, ทอง, เงิน และ เซียร์ร่าบลู)

  • iPhone 13 Pro ขนาดความจุ 128GB ราคา 38,900 บาท
  • iPhone 13 Pro ขนาดความจุ 256GB ราคา 42,900 บาท
  • iPhone 13 Pro ขนาดความจุ 512GB ราคา 50,900 บาท
  • iPhone 13 Pro ขนาดความจุ 1TB ราคา 58,900 บาท

ราคา iPhone 13 Pro Max (กราไฟต์, ทอง, เงิน และ เซียร์ร่าบลู)

  • iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 128GB ราคา 42,900 บาท
  • iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 256GB ราคา 46,900 บาท
  • iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
  • iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 1TB ราคา 62,900 บาท

สำหรับใครที่สนใจสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เริ่มวางจำหน่าย 8 ตุลาคมเป็นต้นไป ส่วนราคา่จากผู้ให้บริการ รอติดตามต่อไปอีกไม่นานเกินรอ