ยูเครนใช้เทคโนโลยีระบบจดจำใบหน้าช่วยระบุตัวทหารรัสเซีย

ในภาวะสงครามการทราบข้อมูลพร้อมทั้งสามารถระบุว่าใครเป็นใครได้นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นทหารที่เสียชีวิต ผู้ที่ถูกจับกุมตัว ขโมย คนที่เข้า-ออกเขตชายแดนหรือกระทั่งการบันทึกข้อมูลอาชญากรรมสงครามต่าง ๆ

รัฐบาลและหน่วยงานของประเทศยูเครนจึงนำเทคโนโลยีใหม่ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์จดจำใบหน้า (facial recognition) สุดล้ำสมัยจากสหรัฐฯ เข้ามาใช้เพื่อตอบโจทย์ข้างต้น โดยเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถระบุตัวทหารรัสเซีย ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิต

ลีโอนิด ทิมเชนโก (Leonid Tymchenko) หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการและสนับสนุนข้อมูลของตำรวจแห่งชาติยูเครน บอกกับผู้สื่อข่าว วีโอเอ ว่า เทคโนโลยีจดจำใบหน้าคือเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับยูเครน ซึ่งมีการนำมาใช้ใน 5 หน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติของยูเครนแล้ว และ ระบบนี้ก็ทำงานได้ตามเป้าประสงค์อย่างไม่มีที่ติ

Clearview AI บริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีจดจำใบหน้าจากรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นบริษัทที่ตกเป็นเป้าการถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้ คือ ผู้ที่อนุมัติให้รัฐบาลยูเครนใช้ฐานข้อมูลใบหน้าผู้คนนับพันล้านคนเพื่อใช้ในการระบุตัวทหารรัสเซียนั้น

ทั้งนี้ Clearview AI เพิ่งสิ้นสุดกระบวนการไกล่เกลี่ยคดีฟ้องร้องในชั้นศาล เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจากซอฟต์แวร์ที่สามารถระบุและให้ข้อมูลตัวส่วนตัว โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ยินยอม ซึ่งทางบริษัทอ้างว่า ตนเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์สาธารณะต่าง ๆ รวมทั้ง สื่อสังคมออนไลน์ในประเทศรัสเซียอย่าง VKontakte (VK)

อย่างไรก็ตาม บริษัทดังกล่าวจบคดีโดยการตกลงว่า จะขายซอฟต์แวร์ของตนให้แก่ตำรวจและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น

ในกรณีของยูเครน เจ้าหน้าที่เริ่มต้นใช้เทคโนโลยีด้วย การประมวลใบหน้าของทหารรัสเซียที่เสียชีวิตแล้ว

ในบางกรณี รัฐบาลยูเครนจะโพสต์รูปของทหารรัสเซียที่เสียชีวิตลงบนโซเชียลของรัสเซียเพื่อประกาศให้ครอบครัวของทหารเหล่านั้นได้ทราบ

หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการและสนับสนุนข้อมูลของตำรวจแห่งชาติยูเครน ยืนยันว่า การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ความสับสนที่เกิดขึ้นจากภาวะสงครามได้เป็นอย่างดี

ลีโอนิด ทิมเชนโก บอกกับ วีโอเอ ว่า “ในช่วงเดือนแรกของสงคราม ญาติของทหารรัสเซียที่เสียชีวิตต่อว่าว่า ทางฝ่ายยูเครนโกหก เพราะส่วนใหญ่เชื่อว่า ลูกชายของพวกเขากำลังฝึกปฏิบัติการพิเศษอยู่และไม่ได้เข้าร่วมสงครามแต่อย่างใด เพราะฉะนั้น โปรแกรมจาก Clearview AI จึงเข้ามาตอบโจทย์และส่งผ่านความจริงให้ชาวรัสเซียและญาติๆของทหารเหล่านี้รับรู้”

แต่ผู้เฝ้าติดตามสถานการณ์บางคน อย่างเช่น สเตฟานี แฮร์ (Stephanie Hare) นักเขียนหนังสือที่มีชื่อว่า “Technology is not Neutral” หรือ เทคโนโลยีนั้นไม่เป็นกลาง ไม่เห็นด้วยกับการใช้ประโยชน์จากระบบนี้เลย

แฮร์ กล่าวกับ วีโอเอ ว่า “โมเดลธุรกิจของ Clearview AI มาจากการนำข้อมูลรูปภาพต่าง ๆ ที่ผู้คนลงบนอัลบั้มรูปออนไลน์ หรือบนโลกโซเชียลเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกนำมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในสงครามแทน”

ด้วยเหตุนี้ เธอและผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าวรายอื่น ๆ จึงเรียกร้องให้มีกฎหมายควบคุมเทคโนโลยีนี้มากขึ้น ถึงแม้ประโยชน์ของนวัตกรรมดังกล่าวจะมาช่วยสร้างความชัดเจนให้ผู้ตกเป็นเหยื่อของสงครามครั้งนี้ก็ตาม